เปิดมุมมองใหม่! MBA คือ? เรียนเกี่ยวกับอะไร? ทำไมทุกคนถึงเลือกเรียนต่อในคณะนี้?
ทำไมผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำทั่วโลกถึงมีดีกรี MBA ติดตัว? หลักสูตร MBA เรียนเกี่ยวกับอะไร ที่ทำให้มันเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานขนาดนี้? และที่สำคัญถ้าไม่มีธุรกิจครอบครัวให้สานต่อ การเรียน MBA ยังคุ้มค่าไหม? วันนี้จะตอบทุกคำถามที่หลายคนสงสัย พร้อมไขข้อข้องใจไปพร้อมกันว่าทำไม MBA ถึงเป็นปริญญาที่ใคร ๆ ก็อยากมีติดตัว
MBA คืออะไร? ย่อมาจากอะไร?

MBA ย่อมาจาก Master of Business Administration คือ ปริญญาโทบริหารธุรกิจ เป็นหลักสูตรที่มุ่งพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้บริหารในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ ภาครัฐ หรือองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการก้าวสู่บทบาทผู้นำและขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโต เพราะจะช่วยพัฒนาทักษะด้านการบริหารจัดการ กลยุทธ์ธุรกิจ และการสร้างเครือข่ายอันเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตในอาชีพ
ทำไมต้องเรียน MBA? เรียนแล้วจะได้อะไรกลับไปบ้าง?
1. พัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้บริหาร
การเรียน MBA จะช่วยพัฒนาทักษะในการบริหารจัดการธุรกิจที่ครอบคลุมในหลายด้าน ทั้งการจัดการทางการเงิน การวางกลยุทธ์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การตลาด และการบริหารความเสี่ยง ซึ่งทำให้คุณพร้อมสำหรับการทำงานในตำแหน่งบริหารระดับสูง
2. ขยายเครือข่าย
MBA เป็นหลักสูตรที่มีผู้เรียนมาจากหลากหลายสาขาอาชีพ และจากทั่วทุกมุมโลก การเรียน MBA จึงเป็นโอกาสทองในการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจที่มีคุณค่า โดยคุณจะได้รู้จักกับเพื่อนร่วมโปรแกรมที่มีประสบการณ์ในธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญในวงการที่สามารถให้คำแนะนำหรือเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ตัวอย่างเช่น การร่วมกิจกรรม Networking Events หรือการทำงานในโครงการกลุ่มกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่สามารถเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในอนาคต
3. เพิ่มโอกาสในการเติบโตในสายอาชีพ
การเรียน MBA ไม่เพียงแต่เพิ่มพูนความรู้และทักษะเฉพาะทางในการบริหารธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้คุณเติบโตในอาชีพที่ต้องการ เปรียบเสมือนตั๋วผ่านด่านสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง ไม่ว่าจะเป็น CEO, CFO หรือ COO ซึ่งมาพร้อมกับโอกาสในการรับผิดชอบงานที่ท้าทายและรายได้ที่สูงขึ้น หลายคนสามารถก้าวกระโดดในอาชีพได้อย่างรวดเร็วหลังจากสำเร็จการศึกษา MBA เนื่องจากทักษะที่ได้รับจากการเรียนนั้นตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบัน
4. การเพิ่มความยืดหยุ่นในอาชีพ
MBA ช่วยให้คุณสามารถเปลี่ยนสายงานหรือเข้าสู่ตำแหน่งที่หลากหลายได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะเริ่มต้นจากการทำงานในด้านการตลาด หลังจากเรียน MBA คุณอาจตัดสินใจเปลี่ยนไปทำงานในด้านการเงิน หรือการบริหารธุรกิจได้ง่ายขึ้น เพราะการเรียน MBA จะทำให้คุณมีทักษะที่สามารถใช้ได้ในหลาย ๆ อุตสาหกรรม
5. เตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นผู้ประกอบการ
สำหรับผู้ที่ตั้งใจจะเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง MBA จะช่วยให้คุณมีความรู้และทักษะในการบริหารธุรกิจที่จำเป็น อีกทั้งยังได้เรียนรู้จากกรณีศึกษาจริง ๆ ทำให้คุณเข้าใจถึงความท้าทายและโอกาสที่อาจเกิดขึ้นในโลกธุรกิจได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาและตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น หากอยากเปิดร้านอาหาร การเรียน MBA จะช่วยให้คุณวางแผนธุรกิจได้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การเลือกทำเลที่ตั้ง การออกแบบเมนู การบริหารต้นทุน ไปจนถึงการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก เป็นต้น
6. เข้าใจในมุมมองระดับสากล
MBA มักมีการเรียนรู้ที่ครอบคลุมถึงการทำธุรกิจในระดับโลก ทำให้คุณเข้าใจแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก รวมถึงทักษะในการทำธุรกิจในหลายประเทศหรือการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น คุณจะสามารถออกแบบแผนกลยุทธ์ที่รองรับความท้าทายทางธุรกิจในต่างประเทศได้ โดยการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและกฎระเบียบต่าง ๆ ที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจในแต่ละประเทศ
MBA เรียนอะไรบ้าง? กี่ปีจบ?
โดยทั่วไปหลักสูตร MBA สามารถจบการศึกษาได้ภายใน 1-2 ปี และประกอบด้วยวิชาหลัก ๆ ดังนี้
1. การบริหารจัดการ (Management): ศึกษาทฤษฎีและแนวทางในการบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพ การสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ การจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจกระบวนการบริหารจัดการองค์กรในภาพรวม และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานจริงได้
2. การตลาด (Marketing): ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค การวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด การสร้างแบรนด์ การทำการตลาดออนไลน์ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้
3. การเงินและบัญชี (Finance and Accounting): เป็น 2 วิชาที่สำคัญอย่างยิ่งในหลักสูตร MBA และมักจะถูกเรียนควบคู่กันไป เนื่องจากทั้งสองวิชานี้มีความเชื่อมโยงกัน โดยจะศึกษาวิเคราะห์งบการเงิน เพื่อประเมินสุขภาพทางการเงินขององค์กร พร้อมเรียนหลักการบัญชี ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการบันทึกและรายงานข้อมูลทางการเงินขององค์กร เพื่อการตัดสินใจลงทุนที่ชาญฉลาดในขั้นต่อไป
4. การจัดการทรัพยากรบุคคล (Human Resource Management): การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงแค่การจ้างงานและให้เงินเดือน แต่ยังรวมถึงการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง และการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานทำงานอย่างเต็มความสามารถ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว
5. การดำเนินงาน (Operations Management): เรียนรู้การเชื่อมโยงกระบวนการผลิต การจัดการห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น ลดความสูญเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์กร
6. กลยุทธ์ทางธุรกิจ (Strategic Management): วิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการวางแผนกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน
เรียนบริหารธุรกิจหลักสูตร MBA เหมาะกับใคร? จบมาทํางานอะไรได้บ้าง?

แม้หลายคนอาจคิดว่าการเรียนต่อโท MBA นั้นเหมาะกับผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจ เพราะว่าจะได้กลับไปบริหารงานที่บ้าน ถามว่าประเด็นนี้จริงไหม ก็อาจจะมีส่วนจริงในบางมุมมอง แต่ถ้าพิจารณาในแง่มุมที่ลึกซึ้งขึ้น การเรียน MBA ไม่ได้จำกัดแค่ผู้ที่มีธุรกิจของตัวเองเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมทักษะการบริหารและการจัดการที่มีประโยชน์ต่อทั้งการทำงานในองค์กรขนาดใหญ่และการพัฒนาตัวบุคคลในสายอาชีพต่าง ๆ ซึ่งอาจจะเป็นบุคคลเหล่านี้
- ผู้ที่มีประสบการณ์ในโลกธุรกิจและการบริหารมาก่อน แต่ต้องการเปลี่ยนเส้นทางอาชีพ
- ผู้ที่ไม่ได้ทำงานในสายธุรกิจหรือการบริหาร แต่มีความต้องการที่จะเข้าสู่สายงานนี้
- ผู้ที่ตั้งใจจะยังคงทำงานในสายอาชีพเดิม แต่ต้องการพัฒนาทักษะการเป็นผู้นำและความเข้าใจในด้านการบริหารธุรกิจเพื่อก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น
ตัวอย่างอาชีพที่น่าสนใจสำหรับผู้จบ MBA:
- ผู้บริหารระดับสูง: ซีอีโอ, ซีโอโอ, ประธานกรรมการบริหาร
- ที่ปรึกษาธุรกิจ: ให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์แก่บริษัทต่าง ๆ
- ผู้ประกอบการ: สร้างธุรกิจของตนเอง
- นักลงทุน: วิเคราะห์และลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ
- นักการตลาด: วางแผนและดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาด
- ผู้จัดการฝ่ายการเงิน: บริหารจัดการด้านการเงินขององค์กร
- ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล: บริหารจัดการบุคลากรภายในองค์กร
เรียน MBA ที่ไหนดี? ทำไมต้องเลือกเรียนที่ SBU

การตัดสินใจศึกษาต่อในระดับปริญญาโทเป็นก้าวสำคัญที่ต้องการการพิจารณาอย่างรอบคอบ ต้องคำนึงถึงคุณภาพของหลักสูตร โอกาสในการสร้างเครือข่าย และสถาบันที่เราเลือกเรียน นอกเหนือจากสถาบันชั้นนำในประเทศไทยแล้ว มหาวิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก (SBU) คืออีกหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยหลักสูตรปริญญาโทที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งด้านบริหารธุรกิจและสาขาอื่น ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนในยุคปัจจุบัน เหมาะสำหรับคนทำงานที่ต้องการพัฒนาตนเองในระดับสูง
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก (SBU) ยังมีเส้นทางการศึกษาที่ต่อเนื่องเพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพ โดยสามารถเรียนต่อในระดับ บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต (Ph.D.) หรือ ปริญญาเอก ได้ในระยะเวลาเพียง 3 ปี ซึ่งเป็นโอกาสที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกระดับความรู้และทักษะด้านการบริหารธุรกิจในระดับที่สูงขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลาเรียนต่อในระยะยาว ทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางอาชีพได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
จุดเด่นของหลักสูตร MBA ที่ SBU
1. ใช้ระยะเวลาเรียนเพียง 1.5 ปี ด้วยระบบการเรียนแบบ Block Course เรียนวันอาทิตย์ วันเดียว
2. ดูแลนักศึกษาอย่างใกล้ชิด หลักสูตรมีอาจารย์ประจำหลักสูตรที่มีคุณวุฒิปริญญาเอก และตำแหน่งทางวิชาการจำนวนมากเพียงพอในการดูแลนักศึกษาและการควบคุมวิทยานิพนธ์อย่างใกล้ชิด ทำให้นักศึกษามั่นใจว่าจะสามารถจบการศึกษาได้อย่างแน่นอน
3. สร้างเครือข่าย ผู้มาเรียนในหลักสูตร MBA จะได้เครือข่ายผู้บริหารที่มาจากองค์กรทั้งของรัฐและเอกชน สานต่อความสัมพันธ์ในทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
4. มีกลุ่มวิชาเลือก (Elective Course) ที่หลากหลาย ได้แก่
- กลุ่มวิชาการตลาด (Marketing)
- กลุ่มวิชาการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship)
- กลุ่มวิชาการจัดการอุตสาหกรรม (Industrial Management)
- กลุ่มวิชาการจัดการสมัยใหม่ (Modern Management)
- กลุ่มวิชาการจัดการธุรกิจดิจิทัล (Digital Business Management)
- กลุ่มวิชาการบัญชีบริหาร (Managerial Accounting)
หลักสูตร : ไทย – อังกฤษ
เปิดรับสมัคร : มกราคม – มิถุนายน ของทุกปี
คุณสมบัติผู้เรียน
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี (จากสายสาขาใดก็ได้)
2. คะแนนเฉลี่ยสะสม ป.ตรี ไม่ต่ำกว่า 2.20 หรือมีประสบการณ์ทำงาน 2 ปี
