สรุปชัด! ภาคพิเศษ คืออะไร? เรียนกี่ปี จบได้วุฒิอะไร? แตกต่างจากภาคปกติยังไงบ้าง?

เลือกอะไรดี? ภาคพิเศษ VS ภาคปกติ ไขทุกข้อสงสัย ภาคพิเศษ คืออะไร? เรียนกี่ปีจบ? วุฒิต่างกันไหม? ทำไมถึงเป็นทางเลือกการศึกษาสำหรับคนยุคใหม่!

ในระบบการศึกษาเราคงคุ้นเคยกันดีกับการเรียนการสอนแบบภาคปกติ แล้วทำไมถึงมีภาคพิเศษ? การเรียนแบบภาคพิเศษ คืออะไร? สร้างหลักสูตรนี้เพื่อตอบโจทย์ใคร? แล้วต้องใช้เวลาเรียนกี่ปีถึงจะจบ? แล้วที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อจบการศึกษาแล้ว เราจะได้รับวุฒิการศึกษาประเภทไหน และวุฒินั้นจะแตกต่างหรือเทียบเท่ากับภาคปกติหรือไม่? วันนี้มาสรุปให้แบบไม่มีกั๊ก! 

ภาคพิเศษ คืออะไร?

ภาคพิเศษ คือรูปแบบการเรียนที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้เรียนที่มีเวลาจำกัด มักจัดการเรียนการสอนในช่วง วันเสาร์-อาทิตย์ หรือช่วงเย็นหลังเลิกงาน เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา โดยเนื้อหาวิชา โครงสร้างหลักสูตร และวุฒิที่ได้รับเหมือนกับภาคปกติทุกประการ สามารถใช้สมัครงาน เรียนต่อ หรือสอบราชการได้เหมือนกันทุกอย่าง

เรียนปริญญาตรี ภาคพิเศษ ดียังไง?

นักศึกษามหาวิทยาลัยวัยรุ่นกำลังอ่านหนังสือในห้องสมุดพร้อมกับใช้แล็ปท็อป

1. การจัดสรรเวลาเรียนได้อย่างยืดหยุ่น (Work-Life-Study Balance)

ภาคพิเศษเปิดโอกาสให้น้อง ๆ จัดสรรเวลาเรียนได้ตามความเหมาะสม ทำให้สามารถหารายได้เสริมระหว่างเรียนได้ ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายผู้ปกครอง หรือใช้เป็นทุนการศึกษาของตัวเอง นอกจากนี้ การเรียนภาคพิเศษยังเอื้อให้สร้างประสบการณ์ทำงานจริง ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ซึ่งช่วยให้นำความรู้ที่เรียนมาปรับใช้ได้ทันที ที่สำคัญคือ น้อง ๆ จะได้ฝึก การบริหารจัดการเวลาระหว่างการเรียน การทำงาน และชีวิตส่วนตัวไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ตลาดแรงงานยุคปัจจุบันต้องการอย่างมาก

2. พัฒนาทักษะที่ตลาดต้องการ 

การเรียนภาคพิเศษมักถูกออกแบบมาให้เน้นการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้จริง โดยจะเน้นการเรียนรู้แบบ ปฏิบัติและกรณีศึกษา ซึ่งหลักสูตรจะถูกปรับให้ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานอยู่เสมอ หากน้อง ๆ ทำงานในสายงานหนึ่งอยู่แล้ว การเรียนภาคพิเศษในสาขาที่เกี่ยวข้องจะช่วย เพิ่มพูนความรู้และทักษะเฉพาะทาง ทำให้น้อง ๆ โดดเด่นและมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพมากขึ้น

3. ขยายเครือข่ายคุณภาพ 

ในห้องเรียนภาคพิเศษ น้อง ๆ จะได้เจอเพื่อนร่วมชั้นที่หลากหลาย ตั้งแต่เพื่อนร่วมวัยที่มีเป้าหมายชัดเจนในการทำงานควบคู่ไปกับการเรียน ไปจนถึงคนทำงานจากหลากหลายสายอาชีพ ที่มีประสบการณ์จริง น้อง ๆ จะได้แลกเปลี่ยนมุมมอง เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของพวกเขา และอาจต่อยอดไปสู่โอกาสทางธุรกิจหรือการทำงานในอนาคตได้อีกด้วย รวมถึงได้เรียนรู้จากอาจารย์ผู้สอนที่มีประสบการณ์ตรง ในวงการนั้น ๆ ทำให้การเรียนไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เต็มไปด้วยกรณีศึกษาและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง

4. ความสะดวกสบายกับรูปแบบการเรียนที่หลากหลาย (บางหลักสูตรออนไลน์ได้)

หลายมหาวิทยาลัยเปิดโอกาสให้เรียนภาคพิเศษในรูปแบบออนไลน์หรือแบบผสมผสาน (Hybrid) ที่ช่วยให้การเรียนไม่ติดขัดเรื่องสถานที่และเวลามากนัก เช่น มหาวิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก ที่ออกแบบหลักสูตรให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ เพราะที่นี่เข้าใจว่าชีวิตของคนรุ่นใหม่ไม่ได้มีแค่เรื่องเรียนเพียงอย่างเดียว จึงมอบอิสระให้คุณได้จัดสรรเวลา ทั้งทำงาน สร้างประสบการณ์ และใช้ชีวิตส่วนตัวได้อย่างลงตัว โดยไม่ทิ้งโอกาสในการพัฒนาตัวเองเพื่ออนาคตที่สดใส

5. วุฒิการศึกษาที่ได้รับการยอมรับ 

หลายคนอาจกังวลว่าวุฒิภาคพิเศษจะไม่ได้รับการยอมรับ แต่ขอย้ำว่าวุฒิการศึกษาที่ได้รับจากภาคพิเศษเท่าเทียมกับภาคปกติทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการนำไปสมัครงาน เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น หรือใช้ในการปรับตำแหน่ง ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ในทางกลับกัน ประสบการณ์การทำงานที่คุณมีควบคู่ไปกับการเรียน อาจทำให้น้อง ๆ ที่จบจากภาคพิเศษได้เปรียบในการแข่งขันด้วยซ้ำไป

เทียบชัด! ภาคพิเศษ VS ภาคปกติ ต่างกันอย่างไร?

หากกำลังสับสนระหว่างการเลือกเรียนภาคปกติกับภาคพิเศษ บอกเลยว่าสองรูปแบบนี้มีความต่างกันที่ไม่ได้อยู่แค่ เวลาเรียน แต่ยังรวมถึงไลฟ์สไตล์ของผู้เรียน ค่าใช้จ่าย ความยืดหยุ่น และเป้าหมายการใช้ชีวิตระหว่างเรียนด้วย โดยภาคปกติเหมาะกับนักเรียนที่สามารถเรียนได้เต็มเวลาวันจันทร์-ศุกร์ ส่วนภาคพิเศษออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนที่ต้องทำงานไปด้วย เรียนเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ หรือเย็นวันธรรมดา โดยไม่ต้องหยุดทำงาน แต่ต้องแลกมาด้วยความเข้มข้น อัดแน่น และวินัยที่สูงขึ้น ซึ่งทั้งสองภาคนี้ใช้หลักสูตรเดียวกันในหลายสาขา และใบปริญญาเหมือนกัน 100% ไม่มีการระบุว่าเรียนจากภาคใด

ตารางเปรียบเทียบ ภาคพิเศษ VS ภาคปกติ

หัวข้อภาคปกติภาคพิเศษ
วันเวลาเรียนจันทร์ – ศุกร์ (เต็มเวลา)เสาร์ – อาทิตย์ หรือช่วงเย็นวันธรรมดา
กลุ่มเป้าหมายหลักนักเรียนจบ ม.ปลาย ต่อทันทีคนทำงาน / คนเปลี่ยนสาย / ผู้มีภาระอื่น
หลักสูตร & เนื้อหาเหมือนภาคพิเศษ (ในหลายสาขา)เหมือนภาคปกติ แต่สอนอัดในเวลาสั้นกว่า
สไตล์การเรียนกระจายเนื้อหาตามเวลาเรียนปกติเรียนเร่งรัด ใช้เวลาเข้มข้นแต่สั้น
ทำงานระหว่างเรียนได้ไหม?ยาก (เรียนเต็มเวลา)ได้ (ออกแบบมาสำหรับทำงานควบคู่)
ค่าเทอมโดยทั่วไปถูกกว่ามักแพงกว่า (เพราะเป็นนอกเวลาราชการ)
เพื่อนร่วมคลาสวัยใกล้เคียงกันหลากหลายวัย – วัยเรียนถึงวัยทำงาน
บปริญญา / รับรองเทียบเท่ากันเทียบเท่ากัน (ไม่มีคำว่า “พิเศษ” ในใบปริญญา)
ความยืดหยุ่นของเวลาน้อยมาก

จบภาคพิเศษ ได้วุฒิอะไร?

ได้วุฒิปริญญาตรี/ปริญญาโท ที่รับรองโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ไม่มีคำว่า “ภาคพิเศษ” บนใบปริญญา และใช้สอบบรรจุราชการ เรียนต่อ หรือสมัครงานได้เหมือนบัณฑิตภาคปกติ

ภาคพิเศษ เหมาะกับใคร?

  • คนทำงานประจำ ที่อยากเรียนต่อโดยไม่กระทบงาน
  • นักเรียนที่จบ ม.ปลาย / ปวช. / ปวส. ที่อยากเรียนควบทำงาน
  • นักเรียนที่อยากมีเวลาว่างวันธรรมดาไว้ฝึกงานหรือทำธุรกิจ
  • คนมีภาระครอบครัว ต้องดูแลบ้านหรือผู้สูงอายุ
  • ฟรีแลนซ์ที่อยากจัดตารางเรียนตามชีวิตตัวเอง
  • คนที่กำลังรีสตาร์ทชีวิตใหม่ในสายการศึกษา

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาคพิเศษ (FAQ)

Q1 ค่าเทอมภาคพิเศษแพงกว่าภาคปกติไหม?

ส่วนใหญ่ค่าเทอมภาคพิเศษจะแพงกว่าภาคปกติ เพราะมหาวิทยาลัยต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการเปิดสอนนอกเวลาทำการ ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟ ค่าเจ้าหน้าที่ หรือค่าตอบแทนอาจารย์ที่ต้องทำงานล่วงเวลา โดยเฉลี่ยแล้ว ภาคพิเศษอาจมีค่าเทอมอยู่ที่ 20,000 – 40,000 บาทต่อเทอม (ขึ้นอยู่กับสาขา) แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ ความยืดหยุ่นด้านเวลาที่คนทำงานหลายคนยอมจ่าย

Q2 เรียนภาคพิเศษใช้เวลากี่ปี?

การเรียนปริญญาตรีภาคพิเศษในมหาวิทยาลัยไทย จะใช้เวลาเรียนประมาณ 4 ปี เช่นเดียวกับภาคปกติครับ แต่บางมหาวิทยาลัยอาจมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น เปิดโอกาสให้เรียนในรูปแบบพาร์ทไทม์ หรือเรียนผสมผสาน (Hybrid) ทำให้นักศึกษาบางคนอาจใช้เวลานานกว่านั้นเล็กน้อย ขึ้นกับตารางเรียนและความสามารถในการจัดการเวลา

Q3 ภาคพิเศษ เรียนเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ จะเรียนทันไหม?

แม้จะเรียนแค่สองวัน แต่ตารางเรียนจะถูกจัดให้มีชั่วโมงเรียนที่เพียงพอต่อการเก็บหน่วยกิตให้ครบตามหลักสูตร และการเรียนจะมีความเข้มข้นกว่า เช่น อาจมีการเรียนการสอนตั้งแต่เช้าถึงเย็นตลอดวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะต้องรวบรวมชั่วโมงเรียนให้ครบตามหลักสูตรในช่วงเวลาที่จำกัด นั่นหมายความว่า นักศึกษาต้องมีวินัยในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และเตรียมพร้อมที่จะทุ่มเทเวลาทบทวนและทำงานนอกเวลาเรียนอย่างต่อเนื่อง

ภาคพิเศษ กับ ภาคสมทบ ที่มหาวิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก (SBU) เหมือนหรือต่างกันอย่างไร? 

นักศึกษาฟังอาจารย์สอนในคลาส

เหมือนกันในสาระสำคัญ ทั้งในด้านรูปแบบการเรียน กลุ่มเป้าหมาย และวุฒิการศึกษาที่ได้รับ ที่ต่างกันคือ คำเรียกเท่านั้น โดยทั่วไปมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะใช้คำว่า ภาคพิเศษ ซึ่งสื่อถึงหลักสูตรที่เปิดสอนเพิ่มเติมจากภาคปกติ แต่ที่มหาวิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก (SBU) เลือกใช้คำว่า ภาคสมทบ แทน เพราะต้องการสะท้อนแนวคิดว่า หลักสูตรนี้เป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามาสมทบหรือเสริมโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้เรียน ที่เทียบเท่ากับภาคปกติทั้งในด้านคุณภาพและวุฒิการศึกษา โดยไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงกลุ่มเฉพาะที่แตกต่างออกไป

ทำไมควรเรียนภาคสมทบ ที่มหาวิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก (SBU)

  • ทุกคณะเรียนวันอาทิตย์วันเดียว (ยกเว้นนิติศาสตร์ เรียนเสาร์-อาทิตย์)
  • ไม่กระทบเวลางาน 
  • กู้ กยศ. ได้ เหมือนกับการเรียนภาคปกติ 
  • แบ่งชำระค่าเทอมได้เป็นงวด ๆ ทำให้สามารถวางแผนการเงินได้อย่างสบายใจ

จุดเด่นของภาคพิเศษ คือการมอบความยืดหยุ่นและโอกาสทางการศึกษาที่ปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้เรียน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการพัฒนาตนเองควบคู่ไปกับการทำงานหรือมีภาระหน้าที่อื่น ๆ ภาคพิเศษจึงไม่ใช่แค่ทางเลือกเสริม แต่เป็นเส้นทางที่ช่วยให้การเรียนรู้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยไม่ลดทอนคุณภาพหรือมาตรฐานของวุฒิการศึกษา ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะใด กำลังทำงานประจำ หรือมีข้อจำกัดด้านเวลา ก็ยังสามารถเดินตามความฝันทางการศึกษาได้อย่างเต็มศักยภาพ

รับสมัครนักศึกษาใหม่ sbu